Translate

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

วิวัฒนาการ “ทรงผมหนุ่มเกาหลี” ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนไปขนาดไหน





กระแสเกาหลีฟีเวอร์ก็ยังคงมีมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเพลง แฟชั่น หรือซีรีย์เกาหลีก็ตาม หลายๆคนที่เป็นติ่งเกาหลี จำได้มั้ยเราเริ่มคลั่งไคล้อปป้าตั้งแต่ยุคไหน เราชอบอะไรในตัวพวกเขา แล้วตอนนั้นแฟชั่นของพวกเขาเป็นอย่างไร? ไม่ว่าจะหลงรักเหล่าอปป้าด้วยเหตุผลอะไรนานานัปการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลายคนน่าจะจำได้เป็นอย่างดี นั่นคือ ทรงผมของหนุ่มเกาหลี ที่ไม่ว่าจะทำทรงไหน สาวๆ ก็จะกริ๊ด แถมมีหนุ่มๆ ในบ้านเราทำตามกันตรึมด้วย วันนี้เรามาย้อนดูวิวัฒนาการทรงผมหนุ่มเกาหลีกันดีกว่าว่าในช่วง 100 ปี ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร และเราเคยกริ๊ดทรงไหนกันบ้าง


ช่วงยุค 1910s ทรงนี้เราอาจจะเกิดไม่ทัน แต่ได้ดูผ่านซีรีย์แนวย้อนยุคมาบ้าง เรียกได้ว่าเป็นทรงที่เนี๊ยบแบบดูดีเลยล่ะ







ต่อกันด้วยยุค 1920s เป็นยุคที่หนุ่มเกาหลีอาจไม่ทำทรงผมทั่วไป แต่ที่ขาดไม่ได้คือพร็อพบนหัว เพื่อเพิ่มความคูล ความเท่ให้ตัวเอง



ยุค 1930s ทรงผมจะออกแนวเรียบร้อย ให้ดูเหมือนเป็นผู้ชายอบอุ่น



ยุค 1940s เป็นช่วงที่เทรนเด็กแนวเริ่มก่อตัว ทรงผมก็เลยออกแนวๆ หน่อย



ยุค 1950s ยุคที่หมวกปานามาไม่ได้มีไว้เพื่อผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังเป็นที่นิยมในหมู่หนุ่มๆ อีกด้วย



ยุค 60 หนุ่มๆ มักจะทำทรงผมที่ดูเป็นธรรมชาติ







นี่เป็นอีกทรงยอดฮิตที่แทบจะนิยามความเป็นเกาหลีได้ในยุคนั้น



ทรงผมตั้งๆ ก็มา เป็นยุคที่อปป้าต้องเอามือไว้บนหัวบ่อยๆ เพราะต้องคอยจัดผมให้ตั้งอยู่เสมอ



นี่อาจะเป็นทรงที่เราไม่ค่อยคุ้นตาสักเท่าไหร่ แต่ครั้งหนึ่งมันฮิตมากในเกาหลีนะ




เป็นช่วงที่เทรนไฮไลท์ผมมาแรงเลยล่ะ แล้วต้องให้ผมปรกหน้าเบาๆ ด้วยนะ โอ้ย โคตรเท่



ช่วงนี้ก็จะมาแบบเนี๊ยบๆ หน่อย ทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น



ทรงที่กำลังฮิตในตอนนี้ แสกกลางหรือจะหรือเฉียงหน่อยก็ได้ แล้วปล่อยให้มันยุ่งๆ นิดนึง บางคนอาจจะดัดผมหน้าให้มันหยักๆ หน่อย ก็หล่อเหมือนกันนะ







เครดิต













































วัฒนธรรมสุดแปลกของชนเผ่าในแอฟริกา





วัฒนธรรมสุดแปลกของหลายชนเผ่าทั่วทวีปแอฟริกา ที่ปัจจุบันพวกเขาก็ยังคงรักษาประเพณีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าตนอย่างเคร่งครัด วัฒนธรรมเหล่านี้ผ่านกาลเวลามานานหลายร้อย หลายพันปี และน่าจะยังคงอยู่ไปอีกแสนนานเท่านาน ตราบใดที่ลูกหลานของพวกเขายังคงมองเห็นความสำคัญและทำการอนุรักษ์ไว้



หลังสิ้นสุดฤดูฝน ชนเผ่า Wodaabe ทางตอนเหนือของไนจีเรียจะจัดเทศกาล Cure Salee ในช่วงกลางของเทศกาลจะมีพิธีกรรมเฉลิมฉลองที่เรียกว่า Gerewol ผู้ชายในเผ่าจะพากันแต่งเนื้อแต่งตัวให้หล่อเหลาที่สุดเพื่อเข้าประกวดเฟ้นหาผู้ชายที่หล่อที่สุดในเผ่า ฟันที่ขาว และดวงตาสีขาวคือค่านิยมความหล่อของชนเผ่านี้ ในการประกวดพวกเขาจะฉีกยิ้มกว้าง เบิกตาโตให้เป็นที่สนใจที่สุด ผู้หญิงในเผ่าจะเป็นผู้ตัดสิน และผู้ชนะจะได้เลือกผู้หญิงไปหลับนอนด้วย



ที่ชนเผ่า Mursi ในเอธิโอเปีย ที่นีมีค่านิยมความงามที่แตกต่าง ผู้หญิงมักนิยมเจาะริมปีปากล่างและนำแผ่นไม้ หรือแผ่นดินเหนียวใส่เข้าไปเพื่อขยายปากให้กว้างขึ้น นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยในลอนดอนกล่าวว่า วัฒนธรรมนี้มีมานานกว่า 3 หมื่นปี เพื่อสร้างให้ตัวเองโดดเด่น และมัดใจผู้ชายในเผ่า



ปกติแล้วเมื่อเด็กสาวเริ่มโตเป็นวัยรุ่น พวกเธอก็จะเริ่มเจาะปาก และนำวัตถุยัดเข้าไปไม่ให้แผลติดกัน จากนั้นจึงค่อยๆเพิ่มขนาดของวัตถุให้ใหญ่ขึ้น จากสถิติโลกที่บันทึกไว้วัตถุที่ใหญ่ที่สุดที่หญิงสาวจากเผ่านี้ยัดเข้าไปในปากล่างมีความกว้างถึง 19.5 เซนติเมตรเลยทีเดียว



ผู้หญิงจากชนเผ่า Himba ทางตอนเหนือของนามิเบีย มีทรงผมอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทรงผมเหล่านี้เรียกว่า Otjize พวกเธอจะนำไขมันสัตว์ และดินเหนียวมาผสมกัน เพื่อพอกที่ผมและผิว ดินเหล่านี้จะช่วยปกป้องพวกเธอจากแสงแดดร้อนแรง ในขณะเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์ของความสวยงามอีกด้วย



ชนเผ่า Hamar ในเอธิโอเปีย เมื่อเด็กหนุ่มเติบโตขึ้นพวกเขาจะต้องพิสูจน์ตนเองว่าพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่หรือไม่ด้วยประเพณีการเปลือยกายกระโดดข้ามวัวหลายตัวกลับไปมา ประเพณีเป็นการเฉลิมฉลองอายุครบรอบที่พวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่ และเฉพาะคนหนุ่มที่ผ่านพิธีกรรมนี้เท่านั้นจึงจะสามารถแต่งงานได้



ในอีสต์เทิร์นเคป แอฟริกาใต้ เด็กหนุ่มจากชนเผ่า Xhosa มีธรรมเนียมการเติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัวที่เรียกว่า Ulwaluko พวกเขาจะถูกทาตัวและหน้าด้วยสีขาว และส่งตัวออกจากหมู่บ้าน เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าเป็นเวลา 2 เดือน โดยมีเพียงผ้าห่ม และสิ่งของประทังชีพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อรอดชีวิตกลับมาได้พวกเขาจะได้รับการเปลี่ยนผ้าห่มผืนใหม่ และจะไม่มีใครเรียกพวกเขาว่าเป็นเด็กอีกต่อไป



ชนเผ่า Chewa และ Bantu ที่กระจายอยู่ในแซมเบีย ซิมบับเว มสลาวี และโมซัมบิก การเกิดเป็นผู้หญิงในเผ่านี้ไม่เหมือนกับเผ่าอื่น เพราะพวกเขามีวัฒนธรรมการสืบสกุล และมอบมรดกตกทอดจากแม่สู่ลูกสาว นั่นทำให้ผู้หญิงมีอำนาจ และบทบาทในสังคม นอกจากนั้นยังมีตำแหน่งพิเศษประจำเผ่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมของจิตวิญญาณ และทำการเต้นรำที่เรียกว่า Gule Wamkulu ซึ่งประเพณีจะเกิดขึ้นในงานแต่งงาน และงานศพของเผ่า



ชนเผ่ามาไซ (Maasai) ในแอฟริกาตะวันออก ยึดถือเรื่องจิตวิญญาณอย่างมาก พวกเขาจะมีบุคคลทางศาสนาผู้ทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ นอกจากนั้นยังรับผิดชอบหน้าที่การทำพิธีกรรมในเผ่า ตั้งแต่การมีทารกคลอด ไปจนถึงการทำนายเหตุการณ์ต่างๆ และการรักษาโรค



ชนเผ่าซาน (San) ทางตอนใต้ของแอฟริกา ในบอตสวานา แองโกลา และนามีเบีย นักวิจัยระบุว่าพวกเขาเป็นชนเผ่าที่มีความเก่าแก่ที่สุด และเป็นกลุ่มมนุษย์แรกๆของโลก พวกเขาหายังชีพด้วยการล่าสัตว์ และมีธรรมเนียมเอกลักษณ์อันโดดเด่นนั่นคือการเต้นรำรอบกองไฟ การเต้นรำนี้นอกจากเป็นการกระชับความสัมพันธ์ในชุมชนแล้ว ยังสามารถรักษาอาการป่วยได้อีกด้วย ปัจจุบันพวกเขาโชว์การเต้นของเผ่าให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเข้าชม และชนเผ่านี้กำลังถูกคุกคามจนมีความเสี่ยงว่าในอนาคตอาจสาบสูญหายไป



ทุกๆเดือนมิถุนายน หรือเดือนกรกฎาคม ชนเผ่า Bodi ในเอธิโอเปีย มีเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ด้วยขบวนแห่ แต่ก่อนหน้านั้น 1 เดือนชายหนุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงานจะถูกขุนให้อ้วนด้วยนมและเลือดวัว จนพุงของพวกเขายื่นออกมา เมื่อพวกเขาอ้วนแล้วก็จะสามารถหาภรรยาได้ในเทศกาล และหลังจากผ่านพ้นเทศกาลไปพวกเขาก็จะกลับมามีรูปร่างเหมือนดิม ในเวลาไม่กี่สัปดาห์



ชนเผ่า Dassanech ในเอธิโอเปียและเคนย่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม พวกเขานิยมนำเอาขยะมาทำเป็นเครื่องประดับ ไม่ว่าจะเป็นฝาขวด รวมไปถึงเศษเหล็กต่างๆเพื่อสร้างความสวยงามและความโดดเด่นให้แก่ตัวเอง

เครดิต


































10 พิธีกรรมสุดแปลกจากทั่วโลก ที่เห็นแล้วจะต้องอึ้ง ทึ่ง เสียว!!





พิธีกรรมเป็นการกระทำที่สืบเนื่องมายาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นไปตามความเชื่อของแต่ละเผ่าพันธุ์ หรือของแต่ละชนชาติ ซึ่งความเชื่ออย่างนี้ล้วนมีมานานตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักเป็นความเชื่อเกี่ยวกับผีสาง นางไม้ และเทวดา เหตุที่ต้องเชื่อแบบนั้น เพราะในอดีตการกระทำดังกล่าว ทำให้บรรพบุรุษของแต่ละท้องที่อยู่รอดและปลอดภัย ดังนั้นการทำตามพิธีกรรมจึงมักกระทำอย่างสืบเนื่องยาวนาน พิธีกรรมนั้นเป็นแบบแผนความเชื่อที่ปฏิบัติต่อกันมายาวนาน และมีความเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละพื้นที่ โดยที่พิธีกรรมในโลกนี้นั้นมีอยู่มากมาย แต่พิธีกรรมที่น่าสยดสยอง และชวนให้หวาดเสียวแบบสุดๆ นั้นมีให้ได้เห็นกันไม่ค่อยจะบ่อยนัก และมีเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เรียกได้ว่าเห็นแล้วขนลุกกันเลยทีเดียว พิธีกรรมสุดสยองเหล่านี้จะมีอะไรบ้างนั้น ไปชมกันเลย



10. Thaipusam / ประเทศอินโดนีเซีย

เป็นเทศกาลความเชื่อของชาวฮินดู ในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี ที่จัดขึ้นเพื่อบูชาวันคล้ายวันเกิดของเทพเจ้าของเขาคือ “มุรุกัน” หรือ “พระขันธกุมาร” นั่นเอง เทศกาลนี้เป็นการแสดงความศรัทธา การตอบแทนคุณ โดยยอมทรมานตัวเอง มีการใช้อาวุธแหลมแทงตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งมีการแบกของหนักกว่า 60 – 80 กิโลกรัม เดินขึ้นบันได้ 200 ขั้น รวมระยะทางกว่า 3 กิโลเมตรได้เลย เชื่อว่าใครเห็นก็หวาดเสียวไปตามๆ กัน



9. Bullet Ant Ritual / ประเทศบราซิล

ต่อมาเป็นพิธีกรรมสำหรับเด็กผู้ชาย ที่จะก้าวไปสู่ช่วงวัยหนุ่มในชนเผ่า Satere แถบลุ่มแม่น้ำอะเมซอน โดยจะทำการจับ “มดกระสุน” (ซึ่งเป็นมดที่กัดเจ็บที่สุดในโลก) จากนั้นก็เอาสมุนไพรมาทำให้พวกมันสลบแล้วนำไปใส่ไว้ในถุงมือตาข่าย แล้วให้เด็กผู้ชายที่เข้าร่วมพิธียัดมือลงไปในถุงมือตาข่าย ให้มดกระสุนที่กำลังดุร้ายกัดมือนานถึง 10 นาที!! เพื่อพิสูจน์ความเป็นชายเต็มตัว โดยพิธีกรรมนี้ต้องทำมากถึง 20 ครั้งเลยทีเดียว ถ้าจะทดสอบความเป็นชายได้โหดขนาดนี้ ขอเป็นผู้หญิงดีกว่านะจ้ะ



8. Tibetan Sky burial / ประเทศทิเบต

เชื่อว่าทหลายคนต้องสงสัยว่า พิธีกรรมแบบนี้ก็มีด้วยหรอ? เพราะในทิเบต ชาวพุทธที่นั่นมีการประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์แปลกๆ อย่างการฝังศพบนท้องฟ้า…นั่นคือหากมีคนตาย ผู้ประกอบพิธีกรรมจะทำการจัดการศพให้เร็วที่สุดด้วยการตัดศพออกเป็นชิ้นๆ และให้ฝูงอีแร้งที่ตนเลี้ยงเอาไว้กิน!! และซากที่เหลือเอาไปเผา ตามความเชื่อของชาวพุทธที่นั้นเชื่อเรื่องวัฏจักรการเกิดใหม่ จิตวิญญาณไปอีกที่หนึ่ง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บรักษาร่างกาย อีกทั้งนกแร้งเปรียบเสมือนผู้ร่ายรำบนท้องฟ้า มีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดา ซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้จะนำวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์



7. Baby Dropping / ประเทศอินเดีย



พิธีกรรมนี้เป็นพิธีกรรมเก่าแก่กว่า 700 ปีของชาวอินเดียมุสลิม โดยที่เขาจะทำการโยนเด็กอายุไม่เกิน 2 ขวบลงจากชั้นบนของมัสยิด ซึ่งสูงประมาณ 50 ฟุต โดยด้านล่างนั้นจะมีการขึงผ้าเพื่อรองรับเด็ก โดยเชื่อว่าจะทำให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง ทั้งยังช่วยให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง และถือว่าเป็นการแก้เคล็ดอีกด้วย แต่ก็ไม่ได้เป็นที่ชอบใจของใครหลายคนนัก เพราะปัจจุบันมีนักสิทธิมนุษยชนได้ทำการต่อต้านพิธีกรรมนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันอันตรายต่อเด็กเกินไปนั่นเอง ก็แหมเด็กกำลังเล็ก มาโยนกันซะได้!!



6. Ma’Nene / ประเทศอินโดนีเซีย

กลับมาที่ประเทศอินโดนีเซียกันต่อ กับอีกประเพณีที่แปล๊ก แปลก นี่เป็นพิธีปลุกศพเดินกลับบ้านของชาวบ้านจากหมู่บ้านโทราจา และหมู่บ้านมามาซาในชนบท โดยพวกเขาจะขุดศพขึ้นมาแต่งตัวใหม่ จากนั้นก็จะพาศพเดินกลับบ้าน ซึ่งระหว่างช่วงที่แบกศพกลับบ้านมีข้อห้ามว่า ห้ามคุยกับศพเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้ผู้นั้นล้มป่วย และไม่สามารถพาศพกลับบ้านได้อีกนั่นเอง อื้อหือ!! พิธีนี้ถ้ามาทำที่บ้านเราต้องมีการล่า ท้า ผี ชัวร์ๆ



5. Land Diving / ประเทศวานูอาตู

ประเทศวานูอาตู ในมหาสมุทรแปซิฟิก มีพิธีกรรมแปลกประหลาดที่เรียกว่า Gkoi มีลักษณะคล้ายบันจีจัมพ์ เป็นพิธีกรรมที่จัดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก่อนที่มันฝรั่งต้นแรกจะถูกเพาะปลูก เพื่อขอพรจากพระเจ้าให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ โดยชาวบ้านจะร้องเพลง และเต้นรำด้วยกัน จะมีอาสาสมัครที่เป็นผู้ชายทำการกระโดดบันจีจัมพ์ พวกเขาจะผูกเถาวัลย์รอบข้อเท้า และกระโดดลงมาจากอาคารไม้ที่สูงมากกว่า 25 เมตรที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับพิธีกรรมนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอาสาสมัครไม่สนใจสภาพร่างกายของตนแม้แต่น้อยกับเรื่องกระดูกหักจากการก้าวกระโดดแม้แต่น้อย และยิ่งโดดสูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งแสดงความเป็นลูกผู้ชายมากยิ่งขึ้นนั่นเอง หรือนี่คือต้นกำเนิดของบันจี้จัมพ์!!



4. Famadihana / ประเทศมาดากัสการ์

ฟามาดิฮานา (Famadihana) เป็นพิธีศพของมาดากัสการ์ ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ ที่เชื่อว่าวิญญาณของคนตายจะสามารถไปโลกหน้าได้ หลังจากร่างกายเน่าเปื่อยสูญสลายอย่างสมบูรณ์ และเพื่อการนั้นแต่ละครอบครัว ในทุกๆ 2-7 ปี ของการตายของบรรพบุรุษของพวกเขาจะเอาศพของผู้เสียชีวิตขึ้นจากโลงที่ฝังไว้ใต้ดิน เอามาผึ่งแดด และห่อด้วยผ้าไหมผืนใหม่ และแห่ศพเต้นรำรอบหลุมฝังศพของพวกเขา ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่เคารพคนตาย และนอกจากนี้ยังเป็นงานที่ญาติพี่น้องพบปะกันอีกด้วย



3. Mourning of Muharram / ประเทศอัฟกานิสถาน, อิหร่าน, อิรัก, ปากีสถาน, เลบานอน, อินเดีย

สาวกนิกายชีอะห์ ของศาสนาอิสลาม ได้ประกอบพิธีกรรมหมู่ที่น่าหวาดเสียว คือการเฆี่ยน และทำร้ายตัวเองด้วยใบมีดติดโซ่ ให้เลือดไหลออกจากร่างกาย เป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนศักดิ์สิทธิ์ของมูฮัมหมัด เพื่อรำลึกถึงความทุกข์ทรมานของฮุสเซน หลานชายของศาสดามูฮัมหมัดนั่นเอง และนั้นเป็นสิ่งที่อธิบายถึงภาพสยดสยองในการประกอบพิธีกรรมที่มีต่อการไว้อาลัยของท่านฮุเซน ที่ต้องบอกเลยว่า
พิธีกรรมนี้มีแต่เลือด กับเลือดเต็มไปหมด!!



2. Ulwaluko / แอฟริกาใต้

มาต่อกันที่พิธีกรรมเฉือนหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย หรือว่าขริบนั้นแหละค่ะ โดยนี่เป็นพิธีกรรมของชนเผ่า Xhosa โดยขั้นตอนการทำนั้นจะทำกันแบบไม่พึ่งยาชาหรือยาสลบ รวมทั้งห้ามส่งเสียงร้องอีกด้วย โดยจะใช้มีดปลายแหลมเฉือนกันสดๆ เลยทีเดียว ซึ่งหลังจากเฉือนแล้วก็จะถูกนำไปทิ้งไว้ในกระท่อมห่างไกล ที่ไม่มีอาหาร ไม่มีใครเลย มีแต่ตัวเองเท่านั้น โดยต้องอาศัยอยู่ที่กระท่อมนั้นจนกว่าแผลจะหาย ถ้าแผลหายแล้วก็จะถือว่าเป็นชายทั้งแท่ง และสามารถกลับไปยังเผ่าได้แบบภาคภูมิ



1. Phuket Vegetarian Festival / ประเทศไทย

อย่าคิดว่าพิธีกรรมแปลก ๆ แบบนี้ที่ประเทศไทยเราจะไม่มี เพราะที่ภูเก็ต ก็มีประเพณีกินเจประจำปีที่ไม่เหมือนใคร เมื่อพวกเขาทำพิธีกรรมที่ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานหลายร้อยปี ที่แสนจะน่าหวาดเสียว เมื่อกลุ่มคนที่เรียกว่า “ม้าทรง” และพวกเขาจะใช้อาวุธนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น มีด ดาบ หอก ร่ม สมอเรือ ฯลฯ ทิ่มแทงทะลุกระพุ้งแก้ม ร่างกาย และทรมานร่างกายโชว์แห่ต่อหน้าผู้คน โดยเชื่อกันว่าม้าทรง คือร่างประทับของเทพเจ้าของพวกเขาในระหว่างพิธีกรรมเพื่อช่วยปกป้องพวกเขาจากความชั่วร้าย และนำความชั่วร้ายมาสู่ชุมชนนั้นเอง เลยต้องทำร้ายมันจนกลัว และไม่กล้าเข้ามาในหมู่บ้าน

เครดิต































วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

อาถรรพ์สยอง!! แม่มดเบลล์ (The bell witch)





แม่มดเบลล์ (Bell Witch) เป็นผีแนวโพลเทอร์ไกสท์ ปรากฏในตำนานพื้นเมืองของอเมริกัน เป็นผีที่คอยหลอกหลอนครอบครัวเบลล์ในรัฐเทนเนสซี ครอบครัวของเบลล์ ต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปเป็นเวลา 3 ปี แทบจะไม่มีวันไหนเลยที่ปราศจากเสียงกรีดร้องของแม่มดจากรอบๆ บ้าน โดยไม่เห็นตัวตนของมัน ท้ายสุดความเหนื่อยล้าก็เข้ามากล่าวคำทักทายกับ จอห์น เบลล์ สุขภาพของเขาเสื่อมโทรมและถึงแก่ความตายในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2363 หลังจากนั้นเหตุการณ์ต่างๆได้หยุดลง ตำนานนี้ได้มีการเอาไปสร้างเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง ซึ่งว่ากันว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากหญิงชราคนนี้ ชื่อ เคท แบทส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเบลล์ เธอจึงเจ็บแค้นมากเมื่อครอบครัวนี้ได้คดโกงเธอในการซื้อขายที่ดิน ดังนั้นก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลง เธอได้สาปแช่งเอาไว้ว่า ถ้าหากเธอเป็นผี ฉันจะให้ดู ให้เห็น



และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของเบลล์ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จากผีที่ทุกคนต่างมองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็น ข้าวของที่แตกกระจายบ้าง เข็มทิ่มแทงตามร่างกายบ้าง นมหกเลอเทอะบ้าง โดนดึงผ้าคลุมจากเตียง การโดนทุบตี แถมบวกกับเสียงหัวเราะสยดสยองและโดนแกล้งแบบสะใจจากผีเบลล์ แม้กระทั่งตอนที่สมาชิกในครอบครัวได้เสียชีวิตลงนั้น ผีตนนี้ก็ยังไม่วายที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ หัวเราะร้องเพลงอย่างเริงร่า ทั้งดังและยาวนานมาก จนผู้ร่วมพิธีศพคนสุดท้ายได้ออกจากงานฝังศพไป แม้กระทั้งทุกวันนี้ครอบครัวของเบลล์จะหมดรุ่นไปแล้วเกือบ 200 ปีก็ตาม แต่ในทุกวันนี้วิญญาณยังมาปรากฏตัวให้พบเห็นอยู่บ่อยๆ เนื่องจากมีผู้ที่พบเห็นปรากฏการณ์แปลกๆอยู่บ่อยๆเป็นประจำภายในถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งได้ตั้งอยู่ในบริเวณ ครั้งหนึ่งนั้นที่เคยเป็นสมบัติของเบลล์มาแต่ก่อน

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ถูกนำเค้าโครงไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง An American Haunting (2006) และThe Bell Witch Haunting (2004)

เครดิต







เด็กตัวเขียวแห่งวูลพิท (The Green Children of Woolpit)



บนโลกใบนี้มีเรื่องลึกลับเกิดขึ้นมากมายทั้งในอดีตที่ผ่านมาจนมาถึงปัจจุบัน บางเรื่องก็สามารถหาที่มาหาสาเหตุของเรื่องได้ แต่บางเรื่องกลับกลายเป็นปริศนาที่ไม่สามารถรู้ถึงที่มาจนถึงทุกวันนี้ อย่างเช่นเรื่องราวที่จะนำเสนอต่อไปนี้ คนที่ชอบเรื่องลึกลับ ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด

ระหว่างรัชสมัยอันวุ่นวายช่วงปี ค.ศ. 1135-1154 ของกษัตริย์สตีเฟ่นแห่งอังกฤษ (Stephen of England) เกิดเหตุประหลาดขึ้นที่หมู่บ้านวูลพิท ใกล้กับเมืองเบอร์รี่เซนต์เอ็ดมันส์มณฑลซัฟโฟลค์ ขณะชาวไร่กำลังเก็บเกี่ยวพืชผล จู่ๆมีเด็กสองคนโผล่ออกมาจากคูลึกซึ่งขุดไว้เป็นกับดักหมาป่าซึ่งเรียกว่าหลุมหมาป่าหรือ Wolf pit ที่เพี้ยนกลายมาเป็นชื่อหมู่บ้าน เด็กชายและเด็กหญิงทั้งสองมีผิวเจือสีเขียวสวมเสื้อผ้าสีแปลกๆทำจากวัสดุที่ไม่คุ้นเคย เด็กทั้งสองเดินพล่านด้วยอาการขวัญหนีไปทั่วบริเวณอยู่ครูหนึ่งก่อนถูกนำตัวไปยังหมู่บ้าน ชาวบ้านซึ่งมามุงดูไม่มีใครเข้าใจภาษาที่เด็กพูดจึงพาพวกเขาไปยังบ้านของเจ้าของที่ดิน เซอร์ริชาร์ด เดอ คาล์น (Sir Richard de Calne) ที่เมืองไวค์ส เมื่อไปถึงเด็กทั้งสองต่างร้องไห้โฮและไม่ยอมกินขนมปังหรืออาหารใดๆอยู่นานหลายวัน จนเมื่อนำถั่วที่ฝักยังติดก้านเพราะเพิ่งเก็บเกี่ยวมาให้เด็กน้อยผู้อดโซจึงแสดงท่าทีกระหายอยากกินแต่ไม่ฉีกฝักกลับฉีกตรงก้านและเมื่อไม่พบอะไรก็ร้องไห้อีกหลังจากเริ่มรู้วิธีการแกะถั่วแล้วเด็กทั้งสองก็ประทังชีวิตด้วยอาหารชนิดนี้อยู่นานหลายเดือนก่อนจะยอมลองลิ้มรสขนมปัง




ผ่านไประยะหนึ่งเด็กชายผู้ดูเหมือนอ่อนวัยกว่าก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า เขาล้มป่วยและตายในที่สุดส่วนเด็กหญิงสามารถปรับตัวกับชีวิตใหม่ได้ โดยเข้าพิธีศีลจุ่มตามธรรมเนียมของชาวคริสต์ ผิวพรรณของเธอเริ่มกลายจากสีเขียวเป็นสีของคนปกติเธอเติบโตเป็นเด็กสาวสุขภาพแข็งแรง เรียนรู้ภาษาอังกฤษหลังจากนั้นเธอก็ได้แต่งงานกับชายคนหนึ่งที่เมืองคิงสลีนน์ในนอร์โฟล์ค เล่าลือกันว่าเธอกลายเป็นหญิงสาว "ผู้มีพฤติกรรมฉาวคบผู้ชายไม่เลือกหน้า"

บางแหล่งข้อมูลระบุชื่อของเธอคือ แอกเนส แบร์เร (Anes Barre) ส่วนผู้ที่เธอสมรสด้วยเป็นถึงเอกอัครราชทูฒอาวุโสของ เฮนรี่ที่ 2 และยังกล่าวด้วยว่าท่านเอิร์ลเฟอร์เรอร์ส (Earl Ferres เป็นตำแหน่งหนึ่งของขุนนางใน UK คนปัจจุบันคือ Robert Washington Shirley) โดยสืบเชื้อสายมาจากตระกูลขั้นสูง แต่หลักฐานเรื่องนี้ไม่ชัดเจนเนื่องจากชื่อของขุนนางนามสกุล Barre ที่สามารถสืบเสาะได้ถึงยุคนั้นมีเพียงคนเดียว คือ Richard Barre อัครมหาเสนาบดีของ เฮนรี่ที่2 ริชาร์ดผู้นี้เกษียนราชการไปเป็นพระในคณะนักบวชคณะ Augastin ที่เมืองเลสเตอร์ จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าเขาคือสามีของ เอกเนส



เมื่อถามถึงอดีตของเธอเด็กหญิงเล่าได้เพียงรายละเอียดคลุมเครือเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งพวกเขาจากมาแล้วมาถึงหมู่บ้านวูลพิตได้อย่างไร เด็กหญิงเล่าว่าเธอกับเด็กชายเป็นพี่น้องกัน โดยมาจาก "ดินแดนแห่งเซนต์มาร์ติน" ที่ตกอยู่ในแดนสนธยาตลอดกาลผู้อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ล้วนมีผิวสีเขียวเช่นเดียวกับสีผิวของเธอเธอไม่อาจระบุที่ตั้งชัดเจนของบ้านเกิดเธอได้รู้แต่ว่ามีดินแดนอีกแห่งที่"สว่างโรจน์" มองเห็นอีกฟากของ "แม่น้ำสายใหญ่" ที่กั้นแยกดินแดนแห่งนั้นจากพวกเขา เธอจำได้ว่าวันหนึ่งขณะเธอกับน้องชายกำลังดูแลฝูงสัตว์ของพ่อแม่อยู่ในไร่ เมื่อตามพวกมันเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง พลันพวกเขาก็ได้ยินเสียงระฆังดังกังวานทั้งสองเดินฝ่าความมืดอยู่เป็นเวลานานจนกระทั่งมาถึงปากถ้ำ (กับดักหมาป่า) นัยน์ตาก็พร่ามัวเนื่องจากปะทะกับแสงจ้าอย่างฉับพลันทั้งสองทิ้งตัวลงนอนด้วยความมึนงงอยู่นานก่อนจะตกใจตื่นเพราะเสียงเซ็งแซ่ของชาวไร่พวกเขาพยายามหนีแต่หาทางออกไม่เจอ จนกระทั่งชาวบ้านพาพวกเขาไป



เบื้องหลังเรื่องเล่าพิสดารนี้มีความจริงอยู่บ้างไหม ?? หรือมันควรจะถูกจดลงในบัญชีเรื่องเล่าประหลาดมากมายของ ผู้บันทึกจดหมายเหตุสมัยกลาง ของอังกฤษ มีแหล่งข้อมูลดั้งเดินอยู่สองแห่งจาก คริสต์วรรษที่ 12 แห่งแรกคือวิลเลียมแห่งนิวเบร์ก (William of Newburgh) มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1136-1198 พระสงฆ์และนักประวัติศาสตร์แห่งเมือง ยอร์ดเชียร์ ในผลงานสำคัญของเขา Historia rerum Anglicanum ซึ่งกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของอังกฤษตั้งแต่ปี 1066-1198 และได้เล่าเรื่องของเด็กผิวเขียวไว้ด้วย อีกแหล่งข้อมูลคือราล์ฟแห่งคอกกีแชล (Ralph of Coggeshall) ผู้เป็นเจ้าอาวาสในอารามคอกกีแชลเมือง เอสเซ็กซ์ ...เรื่องเล่าเกี่ยวกับเด็กผิวเขียวของเขาปรากฏอยู่ในบันทึกเหตุการณ์ของอังกฤษ Chronicon Anglicanum ซึ่งเขียนไว้เมื่อปี 1187-1224

จากแหล่งข้อมูลทั้งสองข้างต้นราล์ฟแห่งคอกกีแชลผู้อาศัยอยู่ในเมืองเอสเซ็กซ์ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับซัฟโฟลค์ (หมู่บ้านวูลพิต) น่าจะเป็นผู้มีโอกาสได้พบปะกับผู้อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงเพราะเขาได้กล่าวในบันทึกว่าได้ยินเรื่องเล่านี้อยู่บ่อยครั้งจากเซอร์ริชาร์ดเอง (เจ้าของที่ดินที่รับเด็กเขียวมาเลี้ยง) ซึ่งแอกเนสทำงานเป็นคนรับใช้ของเขา ต่างกับของวิลเลียมแห่งนิวเบิร์กผู้อาศัยอยู่ในโบสถ์แห่งยอร์คเชียร์ซึ่งอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุมากดังนั้นจึงไม่น่าใช่ข้อมูลปฐมภูมิ แต่เป็นการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลร่วมสมัยเห็นได้จากคำกล่าวว่า "ข้าพเจ้าชั่งใจไม่ถูกกับพยานมากมายที่น่ารับฟังด้วยกันทุกฝ่าย"

เรื่องราวของเด็กผิวเขียวยังคงประทับอยู่ในใจของผู้คนมาตลอดจนถึงประวัติศาสตร์ในชั้นหลัง ดังปรากฏมีการบันทึกอยู่ใน กายวิภาคแห่งความขื่นขม (The Anatomy of Melancholy) ของ Robert Burton ซึ่งเขียนเมื่อปี 1621 และอยู่ในคำบรรยายตอนหนึ่งที่อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลศตวรรษที่ 12 ในหนังสือ The Fairy Mythology ของ Thomas Keightley



นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่กล่าวกันว่าเป็นการพบเห็นเด็กผิวเขียวครั้งที่สองในสถานที่ที่เรียกว่า บันโฆส (Banjos) ในประเทศสเปนเมื่อเดิอนสิงหาคม ปี 1887 อย่างไรก็ดีรายละเอียดของเหตุการณ์นี้แทบจะเหมือนที่วูลพิททุกประการ โดยเรื่องเล่านี้ก็ดูเหมือนจะมาจากหนังสือ ลิขิตประหลาดจากสวรรค์ (Strange Destinies) ของ จอห์น แม็คลิน (Jhon Macklin) ตีพิมพ์เมื่อปี 1965 แล้วเอามาแต่งเรื่องใหม่ให้เกิดในปี 1887 ความจริงก็คือไม่มีสถานที่ที่ชื่อบันโฆสในสเปน ส่วนเนื้อหาก็เป็นการนำเอาเรืองเก่าในศตวรรษที่12 ของอังกฤษมาเล่าใหม่เท่านั้น

ในบรรดาคำอธิบายอันหลากหลายต่อปริศนาเด็กผิวเขียวนี้ ข้อเสนอแบบสุดกู่สุดโต่งคือ เด็กทั้งสองคนมาจากโลกใต้พิภพหากด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ อาจจะก้าวทะลุช่องทางสักแห่งจากมิติคู่ขนานหรือเด็กคู่นี้เป็นมนุษย์ต่างดาวซึ่งบังเอิญพลัดมาบนโลก ทฤษฎีหลังนี้มีผู้สนับสนุนคือนักดาราศาสตร์ชาวสก็อต ดันแคน ลูนัน (Ducan Lunan) เขาเสนอว่าเด็กสองคนนี้คือมนุษย์ต่างดาวผู้ถูกส่งมายังโลกจากดาวเคาระห์ดวงหนึ่งเนื่องจากความผิดพลาดของเครื่องส่งสสารทำงานขัดข้อง



เรื่องเด็กผิวเขียวยังถูกนำมาผูกโยงกับนิทานพื้นบ้านเรื่องหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในภาษานอร์วิชปี 1595 เป็นไปได้ว่าฉากเหตุการณ์ในนิทานเรื่องนี้อยู่ในป่าแวย์แลนด์วูดซึ่งอยู่ใกล้กับป่าเธ็ตฟอร์ดอันเป็นพรมแดนระหว่าง นอร์โฟล์คกับซัฟโฟล์ค นิทานมีอยู่ว่า ท่านเอิร์ลชาวนอร์โฟล์ค ในวัยกลางคน มีหลานสองคนเป็นเด็กชายวัยสามขวบกับน้องสาวท่านเอิร์ลผู้เป็นลุงและผู้จัดการมรดกของเด็กทั้งสองหวังฮุบสมบัติด้วยการกำจัดเด็กทั้งสองนี้ จึงจ้างวานชายสองคนให้พาหลานของตนเข้าป่าและฆ่าทิ้งเสียทว่ามือสังหารทำงานไม่ลุล่วง จึงทิ้งหลานของเอิร์ลไว้ในป่าเวย์แลนด์วูด จนในที่สุดเด็กน้อยทั้งสองก็สิ้นใจตายเนื่องจากขาดอาหารและปอดบวมเพราะความหนาว ต่อมามีผู้ดัดแปลงนิทานเรื่องนี้โดยเปลี่ยนสถานที่เป็นป่าวูลพิทซึ่งอยู่รอบนอกหมู่บ้านวูลพิท (อันเป็นสถานที่เกิดเหตุดั้งเดิม) เนื้อเรื่องเปลี่ยนเป็น ให้เด็กทั้งสองรอดชีวิตจากการวางยาพิษจากสารหนูก่อนมาโผล่ในป่าละเมาะวูลพิตจนกระทั่งชาวไร่มาพบเจอ จากเรื่องเล่าฉบับนี้ทำให้มีผู้เสนอว่าเป็นเพราะสารหนู จึงทำให้เด็กมีผิวสีเขียวแต่ความเป็นไปได้ว่าทั้งสองอาจเป็นเด็กในป่าที่มีตัวตนจริงในศตวรรษที่ 12 จนกลายมาเป็นต้นเค้าของนิทานพื้นบ้านนี้ยังไม่ควรถูกมองข้ามไปเสียทั้งหมด

เรื่องเล่าของหมู่บ้านวูลพิตยังมีอีกหลายมิติที่พบได้ในความเชื่อท้องถิ่นของอังกฤษ บางคนมองว่าเด็กผิวเขียวคือบุคลาธอษฐานแทนธรรมชาติในลักษณะคล้ายคลึงกับผีป่ากรีนแมน (Jack in the Green) ตามคติพื้นบ้านของอังกฤษหรือกระทั่งอัศวินเขียวในตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์ เด็กสองคนนี้อาจเป็นพวกเอลฟ์ หรือพวกรุขเทวดา (หรือเอเลี่ยนที่อยู่บนโลกมาก่อนมนุษย์เป็นผู้ทรงภูมิ) ซึ่งคนพื้นบ้านในหลายประเทศเชื่อว่ามีจริงจนเมื่อหนึ่งหรือสองศตวรรษมานี้เองความเชื่อดังกล่าวเกี่ยวกับพกวเอล์ฟจึงเริ่มรางเลืองไป แต่หากเรื่องเล่าเด็กผิวเขียวเป็นเพียงนิทานภูตไพรกับนับเป็นการหักมุมแบบไม่คาดคิดอย่างเหลือเชื่อที่ให้เด็กหญิงอยู่กินแต่งงานกับมนุษย์คนหนึ่งโดยไม่ย้อนคืนสู่ภพเดิมของเธอ

ส่วนคำวิจารณ์เจือปริศนาของราล์ฟแห่งคอกกีแชลที่ว่า เด็กหญิงเมื่อเติบโตรุ่นสาวเป็นผู้มี "พฤติกรรมฉาว คบผู้ชายไม่เลือก"มีนัยยะถึงสัญชาติญานดิบเถื่อนบางอย่างแบบภูตไพร? นอกจากนี้ในคติพื้นบ้านอังกฤษสีเขียวยังมักเกี่ยวโยงกับปรโลกและอำนาจลี้ลับความชอบถั่วสีเขียวของเด็กจึงเป็นอีกข้อสังเกตที่ถูกนำมาผูกกับความเชื่อดังกล่าวเพราะเชื่อกันว่า ถั่วคืออาหารของคนตาย ในบางลัทธิของชาวโรมันจะมีเทศกาลประจำปีเรียกว่า เลอมูเรีย (Lemuria) ซึ่งใช้ถั่วเป็นเครื่องเซ่นเพื่อขับไล่ผีร้ายของคนตายออกจากบ้าน ในสมัยกรีกโรมัน และอียิปต์โบราณรวมทั้งอังกฤษสมัยกลางมีความเชื่อคล้ายกันว่าในถั่วมีวิญญานผู้ตายสิงอยู่

แม้เรื่องเล่าแห่งหมู่บ้านวูลพิตจะปรากฏอยู่ในแหล่งข้อมูลเมื่อศตวรรศที่ 12 แต่ก็ควรพึงระลึกว่าจดหมายเหตุในเวลานั้นนอกจากจะบันทึกเหตุการณ์ทางการเมืองและศาสนาแล้วยังมีอีกมากมายหลายกรณีที่ได้จดจำถึงเรื่องประหลาด ปาฏิหาริย์และโชคชะตาราศี อันเป็นสิ่งที่คนสมัยนี้ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยยอมรับแต่เป็นความเชื่อกันอย่างกว้างขวางในสมัยนั้นแม้แต่ผู้มีการศึกษาทั้งชายและหญิง ถ้าเช่นนั้นวิญานประหลาดของเด็กผิวเขียวก็อาจเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลงและขมขื่นผสมผสานเข้ากับนิทานปรัมปราและคติความเชื่อท้องถิ่นเรื่องผีสาวนางไม้ไปจนถึงชีวิตหลังความตาย

ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไรเรื่องเล่าเด็กผิวเขียวยังคงเป็นหนึ่งในปริศนาลี้ลับที่สุดของอังกฤษตลอดไปเว้นเสียแต่ว่าเชื้อสายของแอกเนส แบร์เรจะถูกสืบเสาะได้หรือค้นพบเอกสารหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติมอีก แต่ยังไงซะเรื่องไหนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องลี้ลับติดอันดับ Top ten แล้วนั้นต่อให้หาคำตอบได้ ยังไงเราก็ต้องสงสัยในคำตอนนั้นอยู่ดี

เครดิต